หลายคนที่เริ่มเรียนรู้ตัวอักษรญี่ปุ่นอาจพบว่าการจดจำตัวอักษรนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย บางครั้งอาจจำได้บ้าง ลืมบ้าง หรือรู้สึกว่าเรียนไปก็ยังไม่เห็นความก้าวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวอักษรคันจิที่นำเข้ามาจากจีน การเรียนรู้และจดจำคันจิอาจรู้สึกยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม ตัวอักษรญี่ปุ่นเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในความหลากหลายและเสน่ห์ของภาษาญี่ปุ่น ถึงแม้จะมีความยากในการเรียนรู้ แต่สุดท้ายแล้ว ตัวอักษรเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างเอกลักษณ์ของภาษา
สำหรับผู้ที่กำลังเรียนอยู่ อย่าท้อแท้และยอมแพ้ ขอให้มีกำลังใจและสู้ต่อไป การเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นอาจเป็นเส้นทางที่ยาก แต่ความพยายามของคุณจะนำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด
ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น
ปัจจุบันภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่มีตัวอักษร สามแบบ คือ
“ฮิรางานะ” “คาตาคานะ” “คันจิ”
ในยุคที่ญี่ปุ่นยังไม่มีตัวอักษรใด ๆ
ญี่ปุ่นได้นำเอาตัวอักษรจีนมาใช้
โดยเทียบความหมายคำพูด
แต่ภายหลัง การเทียบความหมายเพียงอย่างเดียว
พบว่าไม่เพียงพอต่อคำพูดที่ประเทศญี่ปุ่นมีอยู่
จึงได้นำตัวอักษรจีนมาทำเป็นภาษาญี่ปุ่น
โดยนำเอาแค่คำอ่านจีนเท่านั้น
ต่อมา 1 เสียงพยัญชนะของญี่ปุ่น ใช้ตัวอักษรจีนมาก
มีหลายประเภทและซับซ้อนจนมีตัวอักษร “ฮิรางานะ” ขึ้นเป็นตัวคันจิที่เขียนง่ายและมีความซับซ้อนน้อยลง
( ราว ค.ศ. 900)
ในช่วงปีดังกล่าว คันจิ เป็นอักษรที่ชนชั้นขุนนาง
หรือ ผู้ชายใช้ในราชการ
ส่วน “ฮิรางานะ” ถูกใช้ในกรณีกิจส่วนตัวหรือ
เพศหญิงเป็นหลัก
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก : Edusup.jp
ภาษาญี่ปุ่นมีหลายประเภทเพื่อ ?
สำหรับผู้ที่เริ่มเรียนหรือก้าวไปยังการเรียนคันจิแล้ว อาจสงสัยว่าทำไมภาษาญี่ปุ่นถึงมีตัวอักษรจำนวนมากขนาดนี้ โดยส่วนตัวฉันเชื่อว่า หากภาษาญี่ปุ่นมีเพียงตัวอักษรประเภทเดียว ความงดงามและเสน่ห์ของภาษาจะลดน้อยลง และที่สำคัญคือจะทำให้การอ่านเป็นเรื่องยากมาก
ลองจินตนาการว่าเราต้องเขียนประโยคโดยใช้เพียง “ฮิรางานะ” เท่านั้น เช่น “ははははながすき” ซึ่งแปลว่า “แม่ชอบดอกไม้” เมื่ออ่านตามตัวอักษรจะได้ว่า “Ha Ha Ha Ha na ga su ki” แต่ที่จริงแล้วอ่านว่า “Ha Ha Wa Ha na ga su ki”
ตัวอักษร “は” ปกติอ่านว่า “Ha” แต่เมื่อใช้เป็นคำช่วยจะอ่านว่า “Wa” ปัญหาคือ หากเรามีเพียง “ฮิรางานะ” จะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า “は” ใดเป็นคำศัพท์และ “は” ใดเป็นคำช่วย ซึ่งยังไม่รวมถึงการแยกคำศัพท์และคำช่วย เพราะตัวอักษร “は” เองยังมีความหมายอื่น ๆ เช่น 葉 (ใบ) 歯 (ฟัน) 刃 (ใบมีด) ทั้งสามตัวนี้ก็อ่านว่า “Ha”
การมีตัวอักษรที่หลากหลายจึงช่วยให้การอ่านและการเข้าใจภาษาญี่ปุ่นมีความชัดเจนและถูกต้องมากยิ่งขึ้น
ข้อดี
การมีตัวอักษรทั้ง 3 แบบ ได้แก่ “ฮิรางานะ” “คาตาคานะ” และ “คันจิ” ในภาษาญี่ปุ่นช่วยให้การอ่านและการเขียนมีความชัดเจนและเข้าใจง่ายมากขึ้น ตัวอักษรแต่ละแบบมีบทบาทเฉพาะที่ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น ประโยค “母は花が好きです” ซึ่งแปลว่า “แม่ชอบดอกไม้” โดยใช้ตัวอักษรฮิรางานะและคันจิร่วมกันในการเขียน ช่วยให้การแยกแยะความหมายของคำและคำช่วยทำได้ง่ายขึ้น ตัวอักษรคันจิช่วยระบุความหมายของคำที่มีหลายการอ่านในฮิรางานะ
หากใช้เพียงฮิรางานะเพียงอย่างเดียว เช่น “ははははながすき” การอ่านตามตัวอักษรจะเป็น “Ha Ha Ha Ha na ga su ki” ซึ่งอ่านออกเสียงได้ แต่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าตัวอักษรใดเป็นคำศัพท์และตัวอักษรใดเป็นคำช่วย เช่นเดียวกับการแยกคำศัพท์และคำช่วย
การใช้คันจิเข้ามาช่วยทำให้ตัวอักษรที่มีหลายความหมายสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน เช่น ในกรณีนี้ตัวอักษร “は” ซึ่งอาจอ่านว่า “Ha” หรือ “Wa” ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยค การมีคันจิช่วยให้สามารถระบุได้ว่า “は” ที่ใช้ในที่นี้คือคำช่วยหรือคำศัพท์
การรวมกันของตัวอักษรทั้งสามแบบนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การอ่านและการเข้าใจภาษาญี่ปุ่นมีความถูกต้องและราบรื่น
วิธีการจำตัวอักษร
การจำตัวอักษรญี่ปุ่นอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ผู้เขียนขอเสนอวิธีการจำที่อาจช่วยในการเรียนรู้และประยุกต์ใช้ได้ โดยมีลำดับขั้นตอนดังนี้:
- การทำความเข้าใจพื้นฐาน: เริ่มต้นด้วยการศึกษาพื้นฐานของตัวอักษรแต่ละประเภท เช่น ฮิรางานะ คาตาคานะ และคันจิ เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างและบทบาทของแต่ละประเภทในภาษาญี่ปุ่น
- การใช้การจำแบบกลุ่ม: แบ่งตัวอักษรออกเป็นกลุ่มตามความคล้ายคลึงกันหรือการใช้งาน เช่น การเรียนรู้ฮิรางานะและคาตาคานะในชุดเดียวกันจะช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น
- การใช้เทคนิคการจำ: ใช้เทคนิคการจำเชิงภาพ เช่น การสร้างภาพหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวอักษร เพื่อช่วยในการจดจำและทบทวน
- การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: ทบทวนและฝึกฝนการเขียนและการอ่านตัวอักษรอย่างสม่ำเสมอ โดยการใช้แบบฝึกหัดหรือแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อการเรียนรู้
- การใช้งานในบริบทจริง: ลองนำตัวอักษรที่เรียนรู้ไปใช้ในประโยคหรือข้อความจริงเพื่อเพิ่มความเข้าใจและความมั่นใจในการใช้
การใช้แนวทางเหล่านี้อาจช่วยให้การเรียนรู้ตัวอักษรญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น
สรุป
- ในอดีต ภาษาญี่ปุ่นใช้เพียงตัวอักษรจีน (คันจิ) เพื่อการเขียน แต่พบว่าการใช้คันจิเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสื่อความหมายได้ครบถ้วน จึงมีการพัฒนาตัวอักษรเพิ่มเติมอย่าง “ฮิรางานะ” และ “คาตาคานะ” เพื่อเสริมความชัดเจนในการสื่อสาร
- ในสมัยก่อน ชนชั้นขุนนางและผู้ชายมักใช้ตัวอักษรคันจิในการเขียน ส่วนผู้หญิงและการใช้งานทั่วไปจะใช้ตัวอักษร “ฮิรางานะ” ซึ่งช่วยให้การเขียนง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น
- ภาษาญี่ปุ่นประกอบไปด้วยตัวอักษรหลากหลายชนิดที่ใช้ร่วมกัน เช่น ฮิรางานะ คาตาคานะ และคันจิ การรวมตัวอักษรเหล่านี้ช่วยให้การอ่านและการเขียนมีความง่ายและชัดเจนมากยิ่งขึ้น